การครองเรือน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังเรื่องธรรมะดีกว่า ศีล ๕ ไง พระพุทธเจ้าสอนให้ถือศีล ๕ นี่พูดถึงการครองเรือนไง ดูสิเราพูดถึงเรื่องศาสนาพุทธ เราเห็นว่าเอาแต่บุญ อยากได้บุญ อยากได้กุศล อยากมีความสุขไง ทีนี้ว่าก่อนจะมีความสุขมันต้องรู้ว่าคุณและโทษไง เห็นไหม โทษของการครองเรือน เราเห็นว่าการครองเรือน เด็กๆ ทุกคนอยากครองเรือนหมดเลย โทษของการครองเรือนนี่แสนยากเลย การครองเรือน พระพุทธเจ้าถึงบอกไง พระเราบวชมานี่สละออกจากเหย้าออกจากเรือน
การครองเรือน เห็นไหม จิตใจสองจิตใจ นี่การครองเรือน ทีนี้การครองเรือนมันเป็นปกติของธรรมชาติไง นี่ที่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติของเขา ธรรมชาติคือว่าไฟมันต้องร้อนไง อาจารย์ถึงบอกเลย อาจารย์มหาบัวบอกว่าไฟให้อยู่ในเตาไง ไฟให้อยู่ในเตามันก็ทำให้อาหารสุกได้ใช่ไหม? ทำให้อาหารสุกมันใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ แต่ไฟเวลาเผาบ้านเผาหมดเลย
ฉะนั้น ศีล ๕ ถึงว่าเป็นเครื่องยึดของคฤหัสถ์ไง ต้องมีศีล ๕ ไง ศีล ๕ เห็นไหม กาเมสุมิจฉาจาร ให้อยู่ไฟในเตาไง ไฟในเตานี่มันก็เป็นการสืบต่อ มันเป็นการสืบต่อ มันทำให้มนุษย์ชาติไม่สิ้นสลายไป เขาถึงมาติพระไง ว่าพระพุทธเจ้าตัดโลกหรือ? สิ้นโลกหรือ? ใช่! พระพุทธเจ้าว่าใช่เลย แต่ไม่ได้ตัดตรงนั้นหรอก ตัดทุกข์ต่างหาก แล้วคนมันทำไม่ได้ ตามธรรมชาติทำไม่ได้ เห็นไหม นี่การครองเรือน
การครองเรือนนี้เป็นของที่ครองยากมาก ทีนี้อย่างนั้นปั๊บ พอมาถึงเป็นพระนี่พระไม่มีเรือน พระนี่ออกจากเรือนแล้วถูกต้องไหม? ไม่.. การครองเรือนนะเป็นการครองเรือนของคฤหัสถ์ พระที่จะออกจากเรือนได้ต้องเป็นพระอนาคามีอย่างต่ำ เพราะว่าถ้าพระยังเป็นปุถุชนอยู่นี่มันยังมีอยู่ เห็นไหม ยังมีอยู่ในเรือนของใจไง
พระบวชปั๊บยังมีกิเลสอยู่ใช่ไหม? บวชจากพระนี่เป็นสมมุติสงฆ์ แล้วต้องมาวิปัสสนา ให้ทำลายเรือนในหัวใจไง ฉะนั้นถึงบอกว่าพระอนาคามีเป็นผู้เรือนว่างไง พระอนาคามีเป็นคนเรือนว่าง คนที่ไม่มีเรือนในหัวใจไง ต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไปถึงจะออกจากเรือน เป็นคนเรือนว่าง แล้วพระพุทธเจ้าปฏิบัติจนสำเร็จถึงเยาะเย้ยมาร
ยอดของเรือนไง ยอดปราสาทของเรือนไง นั่นล่ะคือตัวอวิชชา แต่ตัวเรือนคือตัวความคิดไง ตัวเรือนคือตัวขันธ์ ๕ ไง พระอนาคามีถึงทำลายขันธ์ ๕ หมด ขันธ์ ๕ ภายในจิต ถึงบอกว่าพระอนาคามีเกิดเป็นพรหมไง พรหมเป็นหนึ่ง เห็นไหม ออกจากเรือนไง ทำลายจนเรือนว่างไง นี้เราจะชักกลับมาว่าเป็นพระหรือว่าเป็นผู้ปฏิบัตินี่ มันทะเลาะกันเองในหัวใจไง ความคิดดีหรือคิดไม่ดี ไอ้ความทะเลาะกันในหัวใจมันก็เหมือนกับการครองเรือนของปุถุชน
เราอยู่ในเรือน เห็นไหม นี่ ๒ คนสามีภรรยาทะเลาะกันไหม? นี่เป็นของภายนอกนะ การทะเลาะกันภายนอก หัวใจเรายังคุมกันไม่ได้เลย หัวใจฝ่ายตรงข้าม ยังมีลูกๆ มาให้เดือดร้อนอีกนะ ลูกๆ นี่ บิณฑบาตมา เด็กๆ มันมาใส่บาตร อู๋ย.. เราก็เห็นมีความสุขมากนะ แต่พ่อแม่มันจะแบกขนาดไหนไม่รู้ นี่อีกหัวใจหนึ่ง อีกความคิดหนึ่ง ๓-๔ ความคิด
อันนี้มันแบบว่าความคิดข้างนอกไง คือว่าเลี้ยงคนเขาเลี้ยงกันที่กาย เลี้ยงใจไม่ได้ แต่ความจริงเลี้ยงได้ อยู่ที่การอบรมนิสัย อบรมนิสัยนี่ส่วนหนึ่งเลยล่ะ สิ่งแวดล้อมจะทำให้เป็นไปได้มากเลย แล้วอีกอย่างคือกรรมเก่าของใจดวงนั้น กรรมเก่าไง กรรมเก่านี่เราทำขนาดไหนกรรมมันเป็นไป เพราะเราได้เคยสร้างบุญสร้างกรรมกันไว้เขาจะตามมา พอตามมา ก่อนการเกิด กระแสของกรรมมันบาลานซ์กันพอดีไง มันพอดีของการบาลานซ์กัน
ฉะนั้น คนที่เขามีฐานะบางทีเขาไม่ค่อยมีลูกเพราะอะไร? เพราะไอ้จิตที่จะไปเกิดมันเกิดได้น้อยไง แต่ถ้าอย่างทั่วไปจิตปานกลางจะมีมาก จะได้เกิดมาก คือว่าเมื่อก่อนคนเรามันมี ๑๖ ล้านใช่ไหม? ทำไมตอนนี้ถึง ๖๐ ล้าน ยังไม่หมดหรอก จิตจะเกิดอีกมากมายเลย แต่มันยังเกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้เพราะมนุษย์สมบัติไง นี่เรื่องของกรรม ถึงมีกรรมตัวนี้ด้วยไง กรรมตัวนี้ที่ว่าบางทีเราพยายามทำเท่าไหร่แล้วมันไม่เป็นไปไง จะต้องยกให้กรรมไง
เราเกิดมานี่สิ่งแวดล้อมเราก็สร้างซะสวยหรูในบ้าน สิ่งแวดล้อมทำให้ดีเลย แล้วเราก็คุมให้ดีเลยทำไมมันยังเป็นไป.. สิ่งแวดล้อมในบ้าน สิ่งแวดล้อมในประเทศ สิ่งแวดล้อมในโลก เห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงบอกไงว่าวิวัฏฏกัป กัปที่ว่ามีพุทธศาสนา แล้วกัปที่ว่าคราวที่ไม่มีศาสนามันจะเดือดร้อนขนาดไหน?
การเกิดไง การเกิดในกาลเวลาที่ว่าโลกมันร้อนและโลกมันเย็น ขณะการเกิดพอดีเราไปเกิดเข้าไง นี่คือสิ่งแวดล้อมที่ว่าเรารักษาสิ่งแวดล้อมของเราไง คือว่าเราจะทำให้ของเราเป็นคนดีตลอด แต่เวลาออกไปสังคมประเทศล่ะ? ออกไปสังคมโลกล่ะ? นี่การเกิดไง การเกิด มงคล ๓๘ ประการ เกิดในประเทศอันสมควรไง เกิดในกาลอันสมควร เกิดในกาลพบพระพุทธศาสนาไง เห็นสมณะที่เป็นสมณะไง นิพานะสัจฉิกิริยา จะ เอตัมมังคะละมุตตะมัง คือสุดท้ายแล้วถึงนิพพานไง
นิพพานคือว่าศาสนาเรานี่สอนทั้งหมดเลย สอนตั้งแต่คฤหัสถ์ การครองเรือนของคฤหัสถ์ การครองใจของภิกษุสงฆ์ จนภิกษุสงฆ์ทำลายเรือนในหัวใจเสร็จถึงจะออกไปได้เลย นี่จะว่าเป็นความลำบาก มันลำบากทั้งนั้นแหละ เป็นความลำบากเพราะว่าความเคยชินกิเลสมันขัดขวางไง ขัดขวางไม่ให้เราทำตามที่พระพุทธเจ้า..
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาจากความทุกข์นะ เกิดขึ้นมาจากท่ามกลางในสังคมของราชสำนัก มันจะมีความสุขขนาดไหนนะ ปรนเปรอด้วยความสุขพร้อมหมดเลยนะ แต่หัวใจมันโดนขังไว้ไง ขังไว้ด้วยกฎระเบียบในราชสำนัก ขังไว้ด้วยความสูงส่งของหัวใจ ความสูงส่งของสถานะ มันเป็นความสุขหรือความทุกข์ ในขอบเขต ในกฎระเบียบนั่นน่ะ นั่นล่ะถึงว่าแสวงหาทางออกไง แต่พวกเราวิ่งเข้าหา พวกเราวิ่งเข้าหาตรงนั้น
พระพุทธเจ้าสละออกมาจากการสถาปนาเป็นกษัตริย์แล้วนะ สละออกมานะ ออกมาแบบไม่มีคนสั่งสอน ออกมานี่ต้องแสวงหาเองทุกข์ขนาดไหน? จากสถานะหนึ่ง สถานะของที่ว่าทุกอย่างพร้อมนะ สั่งได้หมด แต่พอออกบวช ออกแสวงหาโมกขธรรม ออกมาแบบคนไม่มีสถานะเลย ต่างกันมากเลย แล้วกว่าจะหาโมกขธรรมเจอแล้วถึงได้มาสอนไง นี่ถึงว่าลำบากไง
พระพุทธเจ้าลำบากก่อน ลำบากเพราะว่าสิ่งที่จะหามานี่เป็นของที่หาได้ยาก มันชนะใจตนเองไง ทำลายเรือนก่อนเพราะมีภรรยานะ ลูกด้วย ออกบวช เห็นไหม นางพิมพา สามเณรราหุล สละออกมาหัวใจแทบขาดอยู่แล้ว เพราะออกมาด้วยความรัก คนนิสัยดีไง คนเป็นผู้นำครอบครัว คนรับผิดชอบสูง แล้วสละออกมาคิดดูจะทุกข์ขนาดไหน?
ถ้าคนเก๊ออกไปอย่างหนึ่ง คนที่มีความคิดอย่างนี้ คนทำอย่างนี้ได้ คนๆ นั้นต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก แล้วความรับผิดชอบนั้นว่าเป็นความถูกความผิด แล้วสละตรงนั้นออกมา ออกมาสถานะที่ว่าตัวเองเป็นยาจกเข็ญใจเลย แล้วศาสนายังไม่เกิด ไม่มีใครรู้หรอก ได้อาหารแบบขอทานเลยล่ะ นี่พระพุทธเจ้ากว่าจะเกิดได้
นี้พูดถึงว่าการเข้ามาศาสนาโดยความลำบากไง แต่เวลาพลิกกลับสิ พลิกกลับเวลาสำเร็จ คือว่าชำระกิเลสแล้ว แม้แต่เทวดา แม้แต่พรหมยังลงมาเป็นลูกศิษย์ แม้แต่พระอินทร์นะยังเป็นแค่คนอุ้มบาตร ดูสิเวลาธรรมกลับมาแล้วบุญกุศลมันย้อนกลับมาขนาดไหน อย่างเรานี่คิดว่าการครองเรือนแสนยาก กว่าเราจะหลุดออกมาเอาตายสิ ตายแล้วไปไหน?
เราเกิดมาชาติหนึ่งนะก็เหมือนกับหนังเรื่องหนึ่ง หรือว่าวัตถุชิ้นหนึ่ง เกิดขึ้นมาแล้วต้องบุบสลายไง การเกิดมาแล้วมันต้องตายไง แต่ถ้าเกิดมาตายนี่ เกิดมาตายไปตามสถานะทางสังคม ทางปัจจุบันที่เราเห็นไงว่าเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ตายไปแล้วเราจะเอาอะไรเป็นเครื่องดำเนินต่อไป คิดแค่นี้มันก็น่าเสียวสันหลังแล้ว
เกิดมานี่ทำไมเราทุกข์ยากขนาดนี้ ทำไมเราเป็นคนอย่างนี้ ทำไมคนอื่นเขามีความสุขมากกว่าเรา แต่เราไม่ได้มองดูว่ากรรมไง กรรมการกระทำไม่เหมือนกัน แต่การเกิดเป็นสถานะมนุษย์เท่ากันไง สถานะมนุษย์ คือว่าเกิดมาแล้วในสถานะมนุษย์เท่ากัน แต่การกระทำของกรรมมาไม่เหมือนกัน ถึงจะไปได้ไม่เหมือนกันไง ความไม่เหมือนกัน บางคนไปง่าย ไปสะดวก บางคนพออยู่พอกิน บางคนอยู่ด้วยความกระเสือกกระสน เห็นไหม
มันไม่เหมือนกัน เพราะไอ้การกระทำมาไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน มนุษย์นี้เป็นสถานะของภพไง กามภพเป็นสถานะของภพ ภพของมนุษย์ แต่ไอ้กรรมกระทำ ไอ้ส่วนที่ย้อนกลับที่ว่าหนุนมานี่ต่างกันไง ถึงได้มาอยู่ในครอบครัว อยู่ในครองเรือนนี้ ได้มารักๆ ชังๆ ไง ไม่มีหรอกว่ารักตลอดแล้วไม่มีกระทบกระทั่ง มีโยมมาหานี่มีปัญหากัน เราบอกปกติลิ้นกับฟัน บอกอย่างนั้นเลยนะ ปกติลิ้นกับฟัน มันต้องมีบ้างลิ้นกับฟัน
การมีนี่คือว่าแม้แต่ใจเรา เรายังไม่พอใจเลย แค่นี้เราคิดของเราบ่อย เราเองนี่ทำไมเราขัดใจนะ อย่างเช่นทำงานทำไมมันไม่ทันใจ เราเองทำงานเอง เรายังไม่พอใจตัวเราเองเลย มันควรจะทำได้มากกว่านี้ มันควรจะเร็วกว่านี้ เรานะ เรายังไม่พอใจตัวเราเองเลย ไอ้ความไม่พอใจเหมือนกับอารมณ์ นี่อารมณ์กับอารมณ์กระทบกัน ก็เหมือนกับเราครองเรือนนั่นแหละ กระทบกันแล้ว กระทบกันแล้ว แม้แต่เราเองเรายังไม่พอใจตัวเราเองเลย แล้วทำไมคนสองคนมันไม่ทะเลาะกัน ไม่มีการกระทบกระทั่งกัน ไม่มีหรอก ไม่มี
ย้อนกลับมาที่ใจเรา ถ้าใจเรามีความไม่พอใจตัวเราเอง อันนี้เป็นได้ ถ้าตัวเรายังขัดใจตัวเราเอง ข้างนอกต้องเป็นอย่างนั้นเด็ดขาดเลย อย่ามาโกหก ไม่ต้องมาโกหกหรอก เพียงแต่ทำอย่างไรให้เป็นไปได้ด้วยดีทั้งสองฝ่าย เพราะกรรมสถานะ กรรมทำให้มันประสบกัน เห็นไหม นี่ไอ้ที่พูดเรื่องกรรมหรือว่าความเป็นไปเพราะอะไร? เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วถึงมองย้อนอดีตไง ถึงเห็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ
นี่ผลประโยชน์ของผู้ปฏิบัติ รู้เข้าใจเรื่องของกรรมด้วย รู้สิ่งที่เราทำมาด้วย แล้วรู้ปัจจุบันที่ทำอยู่ แล้วตายไปแล้วไม่มีไง สุขไหม? สุขมากนะ คือว่าเราตายแล้วไปไหนไง คือว่ามันไม่มีเชื้อไง ฉีกตั๋วทุกอย่าง ฉีกสัญญาทุกฉบับ ฉีกกรรมทั้งหมด ว่างเปล่าไม่มีอะไรต้องไปชดใช้ สุขไหม? กับนี่โอ้โฮ.. ถ้ารู้ปัญหาไปหมดนะ สัญญาทุกฉบับที่เซ็นกันไว้ยังต้องจ่าย ยังต้องไปเกิดบนสวรรค์ ยังต้องไปเกิดบนพรหม ยังต้องไปเกิด เกิดๆๆ ยังต้องไปจ่ายอยู่นะ
นี่เวลาปฏิบัติไป พอมันไม่ต้องไปจ่ายมันย้อนกลับมา นี่ถึงว่าผลของศาสนาไง ผลของศาสนามีทั้งหยาบ มีทั้งกลาง มีทั้งละเอียด อาจารย์มหาบัวถึงพูดไง เหมือนกับห้างสรรพสินค้ามีทุกอย่างพร้อมเลย นี้เรามาแค่ไหน? นี่เห็นการนี้ว่าในครอบครัว..
โธ่! ตอนชอบกัน ตอนรักกันมันจะขนาดไหน? ทำไมไม่นึกถึงวันรักกัน เวลามีปัญหาหน่อยเดียวถึงกับฆ่าแกงกัน เห็นไหม นี่ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ ถึงบอกว่า เออ.. อย่างนี้ดี บอกอย่างนี้คือว่าไม่ครองเรือนหรือ? ครอง.. ครองเรือนที่ใจไง เดี๋ยวพูดอย่างนี้ว่านี่ครองเรือน นี่ไม่ได้ครองเรือน แล้วไม่ได้ครองเรือนมีความสุขไหม? เออ.. มันเฉาอยู่ในนี้ ครองหรือไม่ครองนี่มันรู้ ไม่ต้องมาโกหก เรื่องใจไม่ต้องมาโกหกเลย
เราไม่ได้ครองเรือนหรือ? นี่เขาเรียก เนกขัมมบารมี ไง บารมีพรหมจรรย์ เนกขัมมะ ออกจากเรือนมา โลกนี้เป็นของคู่ มืดคู่สว่าง ขาวคู่กับดำ แล้วเราออกมาไม่ให้เป็นคู่ เห็นไหม แต่มันยังเป็นไปไม่ได้เพราะเราออกมาแต่กายไง แต่หัวใจมันยังไม่ออกมา เพราะใจยังคิดอยู่ใช่ไหม? เห็นไหม เอากายดึงออกไป กายวิเวก แล้วจะมาดึงจิตวิเวกไง
นี่เป็นเครื่องดำเนินที่พระพุทธเจ้าวางไว้ บารมีสิบทัศไง เนกขัมมบารมี พระพุทธเจ้าก็มีอย่างนี้มาก่อน อยู่ในป่าเป็นฤๅษี เห็นไหม พระพุทธเจ้าเคยเป็นฤๅษีอยู่ในป่า เนกขัมมบารมี สะสมการออกมา ต้องสะสมอันนี้ออกมาถึงจะมีบารมีสิบทัศของพระพุทธเจ้า ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี อธิษฐานบารมี.. อธิษฐานคือความตั้งใจหมาย ฉะนั้นปัจจุบันนี้การทำบุญนะห้ามขอ ห้ามอะไร ไอ้นั่นพูดกันไป
การตั้งเป้าหมาย อธิษฐานบารมี บารมีสิบทัศของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาเพราะการอธิษฐาน ทำไมเราจะอธิษฐานไม่ได้ ทำไมโลกเขาว่ากันอย่างนั้น ทำไมเชื่อกิเลสนัก กิเลสว่าทำบุญนี่ห้ามนะ ห้ามอธิษฐานนะเดี๋ยวจะค้ากำไรเกินควร.. อธิษฐาน! ทำบุญใส่บาตรนี่อธิษฐานถึงนิพพาน ทำไมอธิษฐานไม่ได้ ใครจะมาห้าม แต่กิเลสมันห้ามนะ ห้ามอธิษฐานเขาว่าอย่างนั้น อธิษฐานเอาเลย นี่บารมีสิบทัศ
นี่ก็เหมือนกัน อธิษฐานสะสมมา สะสมมาจนเราเป็นคนดีไปไง นี้ศาสนาสอนขนาดนั้น ทีนี้เพียงแต่เราไม่เข้าใจเรื่องศาสนาหนึ่ง แล้วแบบว่าจะรับไง พระต้องเป็นอย่างนั้นๆๆ ความคิดของกิเลสนี่ ทีนี้พระก็มีพระเด็ก พระผู้ใหญ่ไง พระเริ่มออกบวช ใครเริ่มออกแสวงหาไง จะเริ่มต้นจากตรงไหนไง มันต้องมีตรงนั้นด้วย
ถึงว่าถ้าพูดนี่ดูอย่างนางวิสาขา นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน เห็นไหม แล้วไปวัดตอนเย็นๆ ถือไปเลย เพราะทีแรกอายไง พอเราเข้าวัดนางวิสาขาเป็นคนมีฐานะ แล้วเป็นพระโสดาบันด้วยรู้เรื่องใจของพระไง พระจะมองแต่มือของนางวิสาขาไง สงสารพระนะ พอเข้าไปนี่ตอนเย็นมันมีน้ำปาณะไปไง พอตอนเย็นไปวัดไปฟังธรรมพระพุทธเจ้าต้องถือไปด้วย เพราะนางวิสาขาบอกเลยพระมองมือ อ้าว.. วันนี้มีอะไรมา จะได้อะไรบ้างไง นางวิสาขาต้องถือไป กลัวพระมองแล้วพระจะละเหี่ยใจไง
นี้นางวิสาขา.. อยู่ในพระไตรปิฎก คิดอย่างนั้นเลยนะ พอเราไปพระจะมองมือ มองว่าถืออะไรมาบ้าง เห็นไหม นี้ไม่ใช่ว่าพระผิดหรือโยมผิด แต่พระบวชใหม่ การมามันก็ต้องคิด พระ.....ยังบอกกลางคืนหิวข้าว กลางคืน ๓ ทุ่มร้องจ๊อกๆ นี้การบวชใหม่เรือนที่ใจมันยังไม่ทำลาย ความคิดมันมีอยู่ในหัวใจ ทีนี้คนที่จะรู้สถานะอย่างนี้ เห็นไหม ตัวเองผ่านแล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
พอถึงวันนั้นมานี่ อยู่ที่บ้านตาดพระเล่าให้ฟัง บ้านตาดหน้าหนาว คนอีสานเขาจะเอาแป้งจี่ เขาเรียกว่าอะไรจี่นะเผาไฟ อะไรจี่? ข้าวจี่ เออ.. จะมีข้าวจี่ พระเขาเดินบิณฑบาตมาเห็นโยมเขาแป้งข้าวจี่กัน แล้วคนภาคอีสานนะอยากกิน นึกอยากกินในใจนะ เอ๊ะ.. อยากกินข้าวจี่ อยากกินข้าวจี่ อาจารย์สั่งเลยนะ นี้พระเล่าให้ฟัง อาจารย์สั่งให้โยมทำ ให้ไปที่ครัวไงเอาข้าวนี่บิณฑบาตมาปั้นข้าวจี่ไปเผา แล้วก็บอกให้พระองค์นั้น ให้พระองค์นั้น พอไปให้พระองค์นั้น พระองค์นั้นเซ่อเลยนะ พระตกใจเลยล่ะ อาจารย์มหาบัวสั่งเอาไปให้พระองค์นั้น
สอนไง ไอ้ความอยากนี้เป็นกิเลส ได้มาสักแต่ว่าได้ เพราะพระที่วัดป่าบ้านตาดถือธุดงควัตรไง ได้มาสักแต่ว่า แต่ความเคยชินคนอีสานนะ หน้าหนาวนี่ต้องปั้นข้าวจี่แล้วมันผิงไฟได้สนุก คิดอยาก.. นี่ผู้ที่จะฝึกสอนผู้อื่น ถึงว่ายกนางวิสาขา เห็นไหม พระมองมานี่จะทำอย่างไร? ไม่ใช่ว่าพออย่างนั้นพระองค์นี้ผิด อย่างนี้อย่างโน้น..
ก็พระเริ่มต้นยังไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้าย้อนกลับไป คือว่าแคนนอนกลับไปอันนี้เป็นเทคนิคคือการสอนมันจะตกใจ มันจะว่าโอ้โฮ.. อันนี้เป็นความไม่ดี อันนี้เป็นความคิดที่ผิด มันได้ละอายใจ มันได้ฝึกฝนไง เห็นไหม นี่บริษัท ๔ นี่ในศาสนาไงคือว่ามีหยาบ มีกลาง มีละเอียด เราจะไปมองแต่ว่ายอดๆ แล้วไม่มีผู้เดินตามมาเลยหรือ? แล้วอย่างนี้ทางเดินของศาสนาเราจะเป็นอย่างไร?
นี่คนมีความคิดอันนี้แล้วมันจะมองแล้วให้อภัยไง พระมีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ความเป็นไปของศาสนา ศาสนาถึงจะมั่นคงนะ นี่ศาสนาถึงจะเป็นประโยชน์ของเราด้วย เป็นประโยชน์กับศาสนาด้วย แล้วเรามีทางออกด้วย แล้วเป็นประโยชน์กับลูกหลานที่จะเดินตามมาอีกด้วย นี่คิดขนาดนั้นถึงได้ทนทุกข์กันอยู่นี่ ถึงได้ทำอะไรให้พวกเอ็งให้ติให้เตียนไง แล้วเอ็งก็ขวางกันตลอดไง (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)